เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ก.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูสิ ความเป็นอยู่ เห็นไหม พวกเรานี่เป็นมนุษย์ เราเป็นคนฉลาด ดูสัตว์นะ สัตว์มันอยู่ตามสบายของมันเลยล่ะ มันไม่ต้องสะสมอะไรเลยนะ สัตว์มันอยู่ตามธรรมชาติ ถ้าอยู่ตามธรรมชาติ ดูสิ พวกชายภูเขา เขาอยู่ตามธรรมชาติของเขา เขามีความสุขของเขา นั่นก็เพราะโลกไม่เจริญไง พอโลกเจริญเห็นไหม มีการสะสม มีโกดังสินค้า ทุกอย่างเก็บสะสมไว้หมดเลย เพราะอะไร? เพราะมนุษย์มีปัญญา สะสมไว้ๆ สะสมไว้เพื่อใคร? สะสมไว้เพื่อความมั่นคง แล้วมันมั่นคงจริงไหมล่ะ ถ้ามั่นคง เราต้องมีความสุขสิ มันไม่มั่นคงหรอก เพราะอะไร

ดูสิ ดูพายุเข้ามาสิ เหตุการณ์เข้ามานี่ มันแปรปรวนไปหมด นี่ความสะสมจากภายนอกนะ แล้วถ้าความสะสมจากภายในล่ะ ถ้าความสะสมจากภายใน เห็นไหม สิ่งที่สะสมจากภายนอกมันอันหนึ่ง เพื่อความมั่นคงของเรา เพื่อความอยู่สุขสบายของเรา แต่ความสะสมของเรา ความสะสม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหลงความไม่เข้าใจนี่สะสมมหาศาลเลย เพราะเราไม่รู้กับมัน มันก็สะสมนอนตะกอนอยู่ในใจ ดูสิ เวลาหลั่งน้ำ เห็นไหม มันตกตะกอน มันสะสมของมัน มันตกผลึกของมัน ไอ้นั่นเรายังเห็นของมันนะ พิสูจน์ได้ พิสูจน์ทราบได้ ต้องรื้อสันดอนเห็นไหม

เวลาเขาถึงสันดอน เขาต้องขุด เขาต้องลอกสันดอน เพื่อเรือ การคมนาคมเป็นไปได้ แต่หัวใจเรานี่ สันดอนมันอยู่ตรงนี้ล่ะ สันดอนมันสะสมของใจ ความสะสมจากภายในเห็นไหม ความสะสมจากภายนอก เพราะอะไร? เพราะความคิดของเรา เราว่าสิ่งนี้เป็นความสุข ความสุขของเรา มันเป็นความสุขจริงไหมล่ะ

แต่ธรรมะ ดูสิ เรามาเสียสละกัน เรามาจากไหนกัน เรามาเสียสละ เสียสละอย่างนี้ ของที่มันมีอยู่ เห็นไหม ดูสิ ข้าวนี่มันหมดไปไหม ข้าวนี่มันจะเกิดขึ้นมาเพราะเราทำนานะ ทำนานี่ไม่มีวันสิ้นสุดเลย แต่โบราณกาลมาก็ทำนา ปลูกข้าวลงที่นา ในปัจจุบันก็ลงที่นา อนาคตก็ลงที่นา ข้าวมันเกิดได้ตลอดไปไง พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่ เราหาได้ เราแสวงหาได้ แต่เราไปตระหนี่กัน เราไปยึดของมันเอง ยึดเองมันก็มีความทุกข์

แต่ถ้าเราขยันหมั่นเพียร เพราะอะไร? เพราะมันเกิดมาจากฝีมือของมนุษย์ ฝีมือมนุษย์เกิดจากปัญญาของมนุษย์ เกิดจากความเคยชินของเรา การชำนาญของเรา เราสะสมของเรา เห็นไหม แต่ดินฟ้าอากาศมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันเรื่องกรรม เห็นไหม เดี๋ยวเกิดวาตภัย เดี๋ยวเกิดภัยแล้ง เดี๋ยวเกิดต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ มันเป็นยุคเป็นคราวของมัน

ถ้าเป็นยุคเป็นคราวของมัน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สุดวิสัย สิ่งที่สุดวิสัยก็เรื่องของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำความดี เราจะควบคุมมัน เราจะควบคุมธรรมชาติๆ แล้วมันจะควบคุมได้ไหมล่ะ ถ้าควบคุมธรรมชาติ เราก็ถือหัวใจตัวเองควบคุม ถ้าหัวใจตัวเองควบคุม โลกนี้จะมีความสุขมากนะ คนจะไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ต่อไปนี้ โลก ถ้าเอารัดเอาเปรียบกัน ทุกคนมีปัญญากันหมด แล้วสะสมกันหมด

ประเทศที่เจริญแล้วเขาใช้แต่ทรัพยากร เห็นไหม ประเทศที่ไม่เจริญเขาใช้แต่ส่วนน้อย แล้วก็มีความสุขอย่างนั้น แล้วเวลามีการประชุมสัมมนากัน นี่คุณภาพชีวิต จะไปบังคับเขาให้ใช้ชีวิตอย่างเราไม่ได้หรอก เพราะมันอยู่คนละซีกโลก ภูมิอากาศก็ต่างกัน วัฒนธรรมก็ต่างกัน ความเห็นก็ต่างกัน เห็นไหม ความสุขความทุกข์ก็ต่างกัน อย่างเรานี่ เราอยู่ธรรมชาติของเรานี่ มีความสุขมากเลย อาหารก็บังคับให้เรากินอาหารที่เราไม่ถูกใจเรา ทุกอย่างบังคับให้เราหมดเลย เราทำได้ไหม มันเป็นความเพ้อฝัน มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้าความจริง เห็นไหม นี่เกิดในประเทศอันสมควร ที่ไหนที่สมควรล่ะ? ประเทศสมควรนี่ ๓ ฤดูกาล เห็นไหม ดูสิ ประเทศอันสมควร สิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ มันสมดุล เราก็อยู่ในความเป็นสุข เห็นไหม ไปเกิดในประเทศอันไม่สมควร เราไปเกิดที่ไหน? ดูสิ เขาไปเกิดในขั้วโลกเหนือ อยู่กับหิมะทั้งปีทั้งชาติ อยู่ตลอดชีวิตไปเลยนะ เห็นไหม ประเทศอันสมควรไหมล่ะ แต่เขาดำรงชีวิตของเขาไป เพราะการเกิดมันเกิดแล้ว

การเกิดอะไรพาเกิด? กรรมพาเกิด กรรมอยู่ที่ไหน? กรรมอยู่ที่การกระทำ กรรม... การกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วนี่ทำอะไรกัน เราทำความดีกัน เราคิดถึงความดีกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรม “อย่าพิลาปรำพันถึงกัน ให้ทำคุณงามความดีถึงกัน” ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ความเป็นไปนี่ เพราะมันใจถึงใจ ความรู้สึกของเราคิดถึง เราคิดถึงเขา เราคิดถึงเรามีความเมตตาถึงเขา นี่ความรู้สึกผูกพันนะ อย่างเรามันมีความอบอุ่น มันมีคนดูแล มีคนรัก มีคนคอยปกป้องเรา เรามีความอบอุ่น เห็นไหม

แล้วถ้าเราทำกรรม ทำดีของเราล่ะ เพราะอะไร? เพราะกรรมมันอยู่กับการกระทำ กรรมมันอยู่ที่ใจเรา ใจเราถ้ามีหลักของใจ มันเข้าใจหมดนะ สภาพโลกนี้เป็นอย่างนี้ โลกนี้เป็นอจินไตย คำว่า “อจินไตย” คือว่า มันจะมีอย่างนี้ตลอดไป สุขถึงที่สุดไม่ได้เลย แล้วมันก็ทับลงไปด้วยอนิจจัง มันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพสภาวะแบบนี้ มันเป็นไป ถ้าเราเข้าใจตามสภาวะแบบนี้ เราก็อยู่ตามสภาพแบบเขา เราพยายามอยู่ อยู่แล้วทำความดีนะ ไม่ใช่อยู่เพื่อทำลายทรัพยากร เห็นไหม เขาอยู่ทำลายกันๆ เพื่อความโลภ หน้าฉากอย่างหนึ่ง หลังฉากอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าเป็นคนดี เราทำความดีเพื่อเรา เห็นไหม ถ้าเราปกป้องขนาดไหน ความดีเพื่อเราเพราะอะไร? เพราะเวลาสิ่งที่สุดวิสัย สิ่งที่สุดวิสัยมันมี เห็นไหม นี่ควบคุมได้ทั้งหมดทุกอย่าง แต่พอสุดวิสัยขึ้นมา อุบัติเหตุเกิดขึ้นมา มันจะเผาผลาญคนทำชั่วนั้นเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา เราว่าเราเป็นคนไม่ทันโลก โลกเป็นโลกอยู่อย่างนั้น เวลาเราอยู่กับโลก มันมีการแข่งขัน มันต้องอยู่กับโลกเขา เราก็ต้องทันเขา แต่เราก็ต้องเท่าทันใจเราด้วย

สิ่งนี้ขณะที่เราอยู่ในธุรกิจของเรา มันต้องรักษาผลประโยชน์ของเรา แต่ในความเมตตาของเรา ในหัวใจของเรา มันอีกเรื่องหนึ่ง ในความเมตตาของเรา ถ้ามันจบธุรกิจอย่างนั้นแล้ว เราจะช่วยเหลือเจือจานเขาอย่างไร เราจะดูแลเขาอย่างไร เห็นไหม การช่วยเหลือเจือจานกัน เราสละออกไป เขาได้รับจากเราไป สิ่งนี้มันจะย้อนตอบกลับมา เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นค่าน้ำใจ ถ้าค่าน้ำใจ แล้วเวลาเรามีอุบัติเหตุ เรามีต่างๆ มันจะมีสิ่งนี้มารองรับๆ นะ คำว่ารองรับ เห็นไหมนี่ กรรม... กรรมนี่เหตุสุดวิสัยมันมีอยู่ แต่เหตุที่อยู่ในวิสัยเราล่ะ เหตุในวิสัยเรา เรามองไม่เห็นไง อยู่ในวิสัยเรา เราควบคุมใจเรา ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมา “สุขในโลกนี้เท่ากับจิตของเราสงบไม่มี” เห็นไหม

สิ่งใดที่เราแสวงหากันนี่ ตอบสนองใจทั้งนั้นนะ สิ่งนี้ ตัณหาความทะยานอยากมันบังคับให้เราแสวงหามาตอบสนองมัน แล้วก็ชั่วคราวๆ เพราะอะไร? เพราะมันต้องการสิ่งมากๆ ขึ้นไปตลอดไป แต่ถ้ามันสงบตัวของมันเอง มันไม่ต้องการสิ่งใดมาตอบแสวงหา ไม่ต้องมีอามิส ไม่ต้องมีสิ่งที่ตอบสนองมัน มันมีความสุขในตัวของมันเอง แล้วมันหาได้ที่ไหนล่ะ? ก็หาได้ที่เรามีสติสัมปชัญญะ หาได้ด้วยที่ว่าเราเข้าใจธรรมะ เราเข้าใจเรื่องตัวของเราเอง ว่าคุณค่าของความรู้สึกมันอยู่ที่หัวใจ

แต่ทีนี้เราอยู่ที่หัวใจ เพราะเราเป็นเหยื่อไง เราว่าคุณค่าอยู่ที่หัวใจ แต่เราแสวงหา เห็นไหม อยู่กับโลกต้องทันเขา เขามีเราต้องมีกับเขา แต่มีมากมายเลยที่ว่าผู้ที่มีฐานะเขาทันกันในหัวใจ แต่เรื่องความเป็นอยู่ของเขา เขาใช้ชีวิตของเขาปกติไง คนที่มีฐานะแล้วใช้ชีวิตปกติ ดูสิ ดูคนมีชื่อเสียง เขาต้องการเวลาของเขามาก เขาต้องการเวลาส่วนตัวของเขามาก คนมีชื่อเสียงไปไหนมีแต่คนรุมล้อม เขามีความทุกข์มากนะ เขามีความทุกข์ที่เขาไม่มีเวลาส่วนตัว ไอ้เรานี่มีเวลาส่วนตัวของเรา ถ้าเรายิ่งเข้าใจเรื่องในหัวใจของเรา สิ่งที่เราแสวงหา เราไปตามประชาสัมพันธ์ ที่เขาสื่อๆ กัน เห็นไหม เขาสื่อกันนั่นมันเป็นเหยื่อนะ เขาหลอกล่อ เขาหลอกล่อให้เราเป็นเหยื่อ ให้เราไปเป็นลูกค้าของเขา

ถ้าเราปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย เรามีความจำเป็นของเรา เราก็อาศัยของเรา แต่ถ้าเราทำใจของเรา เห็นไหม มันไม่จำเป็นกับเราหรอก มันไม่จำเป็นหรอก ซื้อของมากองไว้เต็มบ้าน แล้วไม่ได้ใช้หรอก ซื้อมากองๆๆๆ ไว้อย่างนั้นน่ะ แต่เราจะเอาเท่าที่ความจำเป็นของเรา ถ้าเรามีความจำเป็นของเรา เราใช้ไปตามความจำเป็นของเรา นี่มีความจำเป็น ถ้าไม่จำเป็น เราก็ไม่เป็นเหยื่อเขา จิตมันก็สงบของมัน มันก็ไม่ดิ้นรน แต่ถ้าเราดิ้นรนมาก ต้องทันกัน ต้องเสมอกัน เราไม่มีวันจบหรอก เพราะเขามีสิ่งใหม่ๆ มาล่อตลอดไป เห็นไหม

แล้วถ้าสิ่งทุกอย่างตอบสนองลงไปที่ใจ แล้วเราไปควบคุมใจของเราเองเลย แล้วใจมันตอบสนองตัวมันเองเลย มันสงบของตัวมันเองด้วยสติ! มีสติสัมปชัญญะขึ้นมา สติเกิดจากจิต ไม่ใช่จิตนะ สติกับเราเป็นอัตโนมัตินะ ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตายมีจิตตลอดไป แล้วสติมันหายไปไหนล่ะ? สติมันเผลอเห็นไหม สติเกิดจากจิต เราต้องฝึก เราต้องหมั่นฝึกฝน เราต้องตั้งสติของเรา ถ้าเราฝึกฝนมีสติของเรา เราไปไหนเราจะไม่มีความผิดพลาด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นปัจฉิมโอวาทเลยนะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย” เห็นไหม คำสุดท้าย พระพุทธเจ้าสั่งเสียไว้เลย อย่าให้ประมาท

ความประมาท เห็นไหม ต้องตั้งสติไว้ มันตรงข้ามกับไม่ความประมาท ถ้าเราตั้งสติของเราไว้ เราฝึกฝนของเราไว้ ตั้งสติขึ้นมา มันก็จะเห็นคุณค่าของใจของเรา พอเห็นคุณค่าของใจของเรา คิดดูสิว่าเราต้องอาศัยคนอื่นตลอดเวลา เด็กๆ นะต้องอาศัยเพื่อน ต้องอยู่กับเพื่อน มันว้าเหว่ มันเหงามันตลอดเวลา แล้วเด็กคนนั้นมันยืนด้วยตัวมันเองได้ มันจะเล่นอยู่ของมันคนเดียว มันจะไม่ไปยุ่งกับใคร มันจะมีความสุขไหม มันไม่ต้องตามเพื่อนไป ไม่ต้องมีใครชักนำมันไป

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มันควบคุมตัวมันเองได้นี่ มันอาศัยตัวมันเองได้นี่มันจะมีความสุขขนาดไหน นี่ความสุขของมัน มันต้องไม่อาศัยใครเลย มันจะไม่ยุ่งกับใครเลย มันมีสติสัมปชัญญะ มันรักษาตัวมันเองได้ แล้วถ้าตั้งสติอย่างนี้ นี่สุขอย่างนี้ นี่ความสงบอย่างนี้ เป็นความสุขอย่างยิ่ง ความสุขที่เกิดขึ้นมานี่ มันเป็นการที่แสวงหาจากใจของเราเท่านั้นเอง แต่เราทำกันไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะเรานั่งแล้วมันก็หงุดหงิด พอเราจะบังคับความคิด ความคิดก็หยุดไม่ได้ เห็นไหม พวกนี้ไม่มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาเกิดมาจากไหน? เกิดจากบารมีธรรมนี่ไง

เราเสียสละ เราทำอะไรของเรานี่ เราเสียสละออกไป คนได้พึ่งพาอาศัย สิ่งที่เป็นพลังงานของเรา เราแสวงหามานะ ของที่เรามาเสียสละกันนี่ มันลอยมาจากฟ้าหรือ? เราต้องทำการทำงานมา เราต้องหาเงินหาทองมา เราต้องเอาสิ่งนี้มา แล้วเราเสียสละสิ่งนี้ออกไป มันฝึกฝนใจมาอย่างนี้ เห็นไหม ถ้ามันฝึกฝนใจไป เวลามันอึดอัดขัดข้องในใจ มันมีสิ่งนี้มันระบายออกได้ไง

ของเห็นไหม ดูสิ เป็นฝี เป็นหนอง มันเจ็บปวด ถ้าเราบ่งมันก็หาย สิ่งที่มันสละออกไปอย่างนี้ มันทำให้ฝีหนองมันออกไปจากใจไปบ่อยๆ ครั้งเข้า เวลามันจะไปนั่งสมาธิ มันจะทำความสงบของใจเข้ามา ไอ้ความอึดอัด ความขัดข้องใจมันก็จะน้อยลง เห็นไหม มันต้องมีทาน ศีล ภาวนา อยู่ๆ จะมานั่งสมาธิ นั่งสมาธินี่มันต้องคนที่มีอำนาจวาสนาหนึ่ง คนที่มีความกระทบใจรุนแรงหนึ่ง ความกระทบของใจมันมีเหตุ เหตุการณ์กระทบใจ เขาจะหาที่พึ่งหนึ่ง แล้วมันมีอำนาจวาสนาน่ะมันฉุกคิด แบบเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม จะเป็นกษัตริย์อยู่แล้วนะ ไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนใจเลยนะ “เอ๊อะ! คนเป็นอย่างนี้หรือ นึกว่าเราจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป”

นี่ศึกษามาขนาดนี้ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ยังสะเทือนใจเลย เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ เราจะหาทางออกไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนมีวาสนา มันไปเจอสภาพต่างๆ มันสะท้อนกลับมาที่ใจ ว่าชีวิตนี้คืออะไร แล้วอะไรพาเกิด เกิดมาจากไหน? ก็เกิดมาจากพ่อแม่ เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในภูมิภาค เกิดในประเทศต่างๆ แล้วนี่การเกิด เกิดในครรภ์ เกิดมาจากพ่อแม่ เกิดในตระกูล ตระกูลเป็นสัมมาทิฏฐิก็พาเข้าวัดเข้าวา ตระกูลถ้าเป็นลัทธิต่างๆ เขาก็พาไปตามลัทธิศาสนาของเขา เห็นไหม นี่เกิดในประเทศอันสมควร

ถ้าเกิดในประเทศอันสมควรแล้วนี่ การเกิดอย่างนี้ ชีวิตนี้มาจากไหน? มาจากการเกิด แล้วการเกิดใครพาเกิด เกิดจากครรภ์ของมารดา แต่ในธรรมบอก นี่ปฏิสนธิจิตเกิด ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิหยั่งลงในครรภ์ของมารดา เราไปนอนในครรภ์ พระอรหันต์ เห็นไหม เราจะไม่เกิดในครรภ์อีกแล้ว เราจะไม่ไปนอนในครรภ์ของใครอีกแล้ว เราจะไม่เกิดอีกแล้ว เห็นไหม นี่ไม่เป็นไป

แต่จิตมันต้องเกิด ถ้าเราบอกเราไม่เกิดอีกแล้ว พูดแต่ปาก แต่มันต้องเกิด เกิดเพราะมีแรงขับ อย่างพลังงาน พลังงานคือตัวจิต แรงขับคือกิเลส กิเลสยังมีแรงขับอยู่ มันต้องทำให้พลังงานนี้เคลื่อนที่ไปตลอดเวลา แต่เราวิปัสสนาไปจนแรงขับไม่มี พลังงานมีนะ แต่แรงขับไม่มี พลังงานมีอยู่เพราะจิตมันมีอยู่ นิพพานมีอยู่ แต่แรงขับไปไหน แรงขับโดนทำลายไป อะไรทำลายไปล่ะ ก็วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณย้อนกลับมาทำลาย

เราเกิดมาจากไหน ตำราไม่มี ที่ไหนก็ไม่มี ครูบาอาจารย์ก็เป็นของท่าน สมบัติของใครสมบัติของเขา ของเรามันอยู่ที่ใจเรา ถ้าใจเรามันเกิดขึ้นมาจากใจเรา เราวิปัสสนาของใจเรา มันจะเกิดมาจากที่นี่ เกิดปัญญาที่นี่ขึ้นมา มันหมุนกลับมา นี่งานการจากภายนอกอันหนึ่งนะ งานของใจนี่สำคัญมากเลย ดูสิ เวลามันฟุ้งซ่าน เวลามันคิด เวลามันทุกข์ยาก มันมาจากไหน? ก็มาจากความคิด แล้วถ้าความคิดมันเป็นแง่บวก ความคิดมันเป็นแง่ดี เราก็ทำเป็นธุรกิจ เห็นไหม ความคิดเมตตาสงสาร ความคิดถึงกัน มันก็เป็นความคิดที่ดี

เวลาธรรมะล่ะ ธรรมะข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว เพราะความดีเป็นความผูกพัน ทำความดีขนาดไหนไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แต่ถ้ามันทำถึงที่สุด เห็นไหม มันข้ามพ้นเลย พ้นจากความดี เพราะดีก็ติดดี ชั่วก็ติดชั่ว ความติดของใจ ติดไปหมดเลย แล้วเราจะปลดเปลื้องมันยังไง ในเมื่อแรงขับมันเป็นอย่างนี้ แรงขับมาจากความรู้สึก แรงขับมาจากใจ แล้วเอาอะไรไปฟันมัน? เอาอะไรไปเชือดเฉือนมัน? มันไม่มีอาวุธอะไรไปเชือดเฉือนมันได้เลย นอกจากมรรคญาณ นอกจากญาณในหัวใจ นอกจากปัญญาในหัวใจ

ใจแก้ใจ จิตแก้จิต หนามยอกเอาหนามบ่งจากภายใจ ถ้าหนามยอก หนามที่ไหน หนามอยู่ไหน เอาหนามที่ไหนมายอก จะเอาใจที่ไหนมายอก นี่มันถึงต้องฟังธรรมนี้ไง เพราะฟังธรรมมันเข้าใจเรื่องของจิต เรื่องของความรู้สึก เรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญา พระบวชมาทำไมกัน มาอดมาอยากทำไมกัน อยู่ทางโลกเขาก็อยู่สุขอยู่สบาย ทำไมต้องมาทุกข์ยากอย่างนี้ล่ะ? ก็เพราะเขาเห็นประโยชน์ตรงนี้ไง เห็นประโยชน์ของการเอาจิตแก้จิตนี้ไง

ชีวิตนี้ดำรงชีวิตนี้เพื่อจะย้อนหาตัวเอง ดำรงชีวิตนี้เพื่อจะแก้จิต ดำรงชีวิตนี้เพื่อให้ความสงบย้อนกลับเข้ามา ถึงว่าต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ การดำรงชีวิต เห็นไหม มนุษย์เหมือนกัน พระก็มาจากคน คนก็ดำรงชีวิตของเขา แต่เวลาเป็นพระแล้ว มันมีกรอบกติกาของศีล ศีลเพื่อไม่ให้ความคิดมันฟุ้งกระจายออกไป มีขีดมีเขตล้อมมันเข้ามา แล้วทำสมาธิเข้ามาก็มีเรือนพัก มีสมาธิ มีที่พึ่งของใจ พอถึงอนาคามี เห็นไหม เป็นผู้ที่เรือนว่าง แต่มีเราอยู่ มันมีเรือนพัก มีสมาธิอยู่ วิปัสสนาเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดมีเราอยู่ในเรือนว่างนั้น ทำลายทั้งหมดเลยนะ ทำลายแรงขับทั้งหมด มันมีแต่พลังงานเฉยๆ

พลังงานเฉยๆ อันนี้เป็นธรรมธาตุ แล้วพลังงานของเราก็มี ความรู้สึกเรามีนะ ความคิดเราเกิดจากพลังงาน ทุกอย่างเกิดจากพลังงานหมดเลย การกระทำต่างๆ เกิดจากพลังงาน แล้วพลังงานมีแรงขับ มีความต้องการ มีตัณหาความทะยานอยาก ขับไปตามแต่จริตนิสัยของตัว แล้วเวลาทำลายแรงขับตัวนี้ออกไปด้วยมรรคญาณ โลกนี้มีเพราะมีเรา เห็นไหม อยู่ในเรือนว่าง จนทำลายตัวนี้ทั้งหมด ธรรมนี่เกิดจากนี้ไง

อยู่กับธรรมชาติ เขาอยู่กันธรรมชาติแล้วสะสมกันไป อันนี้ไม่สะสมนะ โลกนี้มีเพราะโลกเป็นอจินไตย มันจะมีสภาวะแบบนี้ โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าไม่มีเราแล้วโลกก็มีอยู่อย่างนี้ โลกมันมีเป็นของมัน เราก็เป็นของเรา ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาพุทธนี้ ให้มาแก้ที่ตัวเราก่อน เพราะสุขทุกข์มันอยู่ที่เรา

ไฟอยู่บนศีรษะของเรานะ ใครจะมาเอาออกให้เราได้ เราปัดออกก่อน เห็นไหม ไฟในหัวของเรา อย่าไปดูไฟในหัวของคนอื่น ไฟของคนอื่นนั่นเป็นเรื่องของเขา สังคมเป็นสภาวะแบบนี้ สภาคกรรม เราเกิดมาด้วยกรรม เกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เกิดมาด้วยสภาวกรรม เรามีกรรมร่วมกันมา เราถึงต้องมาเกิดแล้วมานั่งกันอยู่นี่ไง แล้วเราชำระล้างมันอยู่นี่ ให้มันสิ้นไปๆ เห็นไหม

เราพึ่งพาอาศัยกัน เป็นญาติโดยธรรม ญาติโดยธรรมกับญาติโดยสายเลือด ญาติโดยตระกูล ญาติโดยธรรม เห็นไหม เกิดร่วมโลก เกิดมาร่วมในศาสนา เกิดมาร่วมครูบาอาจารย์ ประพฤติปฏิบัติกันมานี่ญาติโดยธรรม แก้ไขลงตรงนี้ แล้วเราจะเป็นผู้ที่มีความสุขแท้จริง เอวัง